นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ของ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

การแสดงโขน จากนิทรรศการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9

นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีชื่อว่า "พระเมรุมาศพิมานนฤมิต สรรพศาสตร์ ศิลป์พร้อม น้อมถวายพระราชาผู้ทรงธรรม" จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณผ่านพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมกับเปิดโอกาสให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีไทย ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอันล้ำค่าของไทย ซึ่งได้รับการสืบทอดและอนุรักษ์ไว้ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วยการจัดแสดง 5 ส่วน ดังนี้

  1. พระเมรุมาศ อนุญาตให้เดินชมได้โดยรอบลานอุตราวัฏ หรือพื้นรอบฐานพระเมรุมาศ มีสระอโนดาตทั้ง 4 ทิศและเขามอจำลอง ภายในสระประดับด้วยประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ ได้แก่ ช้าง โค สิงห์ ม้า และสัตว์หิมพานต์ตระกูลต่าง ๆ
  2. พระที่นั่งทรงธรรม ผู้เข้าชมนิทรรศการสามารถชมภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ จำนวน 3 ภาพ คือภาพจิตรกรรมฝาผนังโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจากภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ขนาดความสูง 5 เมตร 80 เซนติเมตร ยาว 12 เมตร ประดับมุขด้านขวาของพระที่นั่งทรงธรรม (ยืนหันหน้าเข้าสู่พระเมรุมาศ) มุขกลางพระที่นั่งทรงธรรม เป็นภาพจิตกรรมฝาผนังโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาและพระราชดำริในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวม 19 โครงการ มุขซ้ายประดับภาพจิตรกรรมฝาผนังฝั่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจากภาคกลางและภาคใต้ 14 โครงการ ภายในโถงพระที่นั่งทรงธรรมจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ แบ่งเป็น 5 หัวข้อที่ตั้งชื่อร้อยเรียงอย่างไพเราะ ดังนี้
    1. เมื่อเสด็จอวตาร นำเสนอเรื่องราวตั้งแต่เสด็จพระราชสมภพ เช่น ภาพถ่ายสำเนาลายพระราชหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระนาม "ภูมิพลอดุลเดช" และเรื่องราวเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องด้วย วังสระปทุม ที่ประทับแห่งแรกในประเทศไทย อาทิ การจำลองตู้ขายของของเจ๊กตู้ ซึ่งเป็นที่มาของของเล่นเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ พร้อมพระรูปที่หาชมยาก อาทิ พระรูปทรงฉายร่วมกับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระเชษฐภคินี บนดาดฟ้าแฟลตที่ประทับ เลขที่ 63 ถนนลองวูด เมืองบรูคลายน์ ชานเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา, พระรูปทรงฉายกับหม่อมเจ้ากุสุมา เกษมสันต์ ซึ่งรัชกาลที่ 9 ทรงเรียกว่า "ป้าจุ่น" ขณะทรงนำเสด็จไปถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในโอกาสเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้า เดือนเมษายน พ.ศ. 2475
    2. รัชกาลที่ร่มเย็น นำเสนอข้อมูลการทรงงานด้านต่าง ๆ นับตั้งแต่การเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ทรงริเริ่มออกแบบและทดลองโครงการด้านต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนชาวไทยผ่านการจัดแสดง ‘อุปกรณ์ทรงงาน’ หลายอย่าง ซึ่งเป็นอุปกรณ์จำลอง โดยใช้ของรุ่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่ของที่ใช้งานจริง อาทิ โต๊ะทรงงาน, และภาพยนตร์ส่วนพระองค์ รวมทั้งงานมัลดิมีเดียผ่านการใช้รหัสคิวอาร์ของสมาร์ทโฟนผู้เข้าชมนิทรรศการ อาทิ คลิปพระสุรเสียงของรัชกาลที่ 9 ขณะทรงติดต่อสนทนากับศูนย์ควบคุมค่ายวิทยุสายลม โดยทรงใช้สัญญาณเรียกขาน วีอาร์ 009 ในช่วงปี พ.ศ. 2528 ซึ่งกรุงเทพมหานครเกิดน้ำท่วม ทรงแนะนำเรื่องการใช้วิทยุสื่อสารให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการแก้ปั­ญหาน้ำท่วมในครั้งนั้น ทรงใช้คำพูดในการสนทนาแบบเรียบง่าย
    3. เพ็ญพระราชธรรม อธิบาย ทศพิธราชธรรม จากหนังสือ "พระเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทยทรงครองราชย์ครบหมื่นวัน" จัดพิมพ์พระราชทานในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวารถวายพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื้อหาครอบคลุมทศพิธราชธรรม 10 ประการ จากธรรมกถาในพิธีบำเพ็ญจิตภาวนาพุทโธโดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวมทั้งนิทรรศการความเป็นมา รูปลักษณ์ และความหมายของ พระพุทธนวราชบพิตร ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงออกแบบเพื่อพระราชทานแก่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2509
    4. นำพระราชไมตรี นำเสนอการทรงงานด้านการต่างประเทศ นับตั้งแต่แรกทรงครองสิริราชสมบัติ คือการทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะและการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศในทวีปเอเชีย จากนั้นจึงเสด็จเยือนสหรัฐ ต่อด้วย 13 ประเทศในทวีปยุโรป และประเทศอื่นอีกหลายประเทศ จนถึงครั้งที่เสด็จฯ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 (หนองคาย-เวียงจันทน์) ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งนอกจากการเผยแพร่พระเกียรติคุณให้นานาประเทศรู้จักแล้ว ผลจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนยังนำมาซึ่งสัมพันธไมตรีที่ดีกับมิตรประเทศเหล่านั้น ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีและความร่วมมืออีกมากมายตราบปัจจุบัน
    5. พระจักรีนิวัตฟ้า ประมวลภาพหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประชาชนแต่งกายไว้ทุกข์ชุดดำนับหมื่นนับแสนหลั่งไหลเพื่อให้ได้เฝ้าส่งเสด็จขบวนพระบรมศพ ภาพประชาชนทั่วทุกสารทิศเดินทางกราบถวายบังคมพระบรมศพตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่ร่วมรับรู้ความรู้สึกสูญเสียบุคคลสำคัญของโลก โดยมีพระราชสาส์นและแถลงการณ์แสดงความอาลัย มายังพระบรมวงศานุวงศ์และประชาชนชาวไทยโดยทั่วกัน
  3. ศาลาลูกขุน 6 หลัง จัดแสดงนิทรรศการพระเมรุมาศและสิ่งปลูกสร้างประกอบ งานบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ แยกตามศาลาลูกขุนดังนี้
    1. สมมติเทวพิมาน จัดแสดงนิทรรศการสถาปัตยกรรมพระเมรุมาศ เล่าเรื่องแนวคิด คติความเชื่อเกี่ยวกับการก่อสร้างพระเมรุมาศที่สืบทอดมาจากสมัยสุโขทัย ซึ่งมีพัฒนาการเชิงรูปแบบสถาปัตยกรรมและความหมายที่เป็นต้นแบบของพระเมรุมาศรัชกาลที่ 9
    2. ณ วิธานสถาปกศาลา เล่าเรื่องขั้นตอนการออกแบบ-ก่อสร้างพระเมรุมาศ และอาคารประกอบ  โดยจำลองบรรยากาศ ‘วิธานสถาปกศาลา’ หรือ ‘โรงแบบขยายแบบเท่าจริง’ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ที่มีลักษณะเฉพาะและมีระเบียบแบบแผนในการวางองค์ประกอบ จึงต้องขยายแบบเท่าจริงลงบนกระดาษขนาดใหญ่ เพื่อตรวจทานมิให้รูปแบบผิดเพี้ยน โดยเฉพาะรูปแบบ ‘เรือนยอด’ ที่มีลักษณะเรียวแหลม อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘อากาศกิน’ คือมวลของยอดที่สูงพุ่งไปในอากาศถูกมองเห็นว่าเล็กลีบเกินความเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถคาดเดาหรือคำนวณการถูกอากาศกินได้ จึงจำเป็นต้องเขียนแบบเท่าขนาดจริง เพื่อตรวจทานมุมมองที่อยู่สูงขึ้นไป รวมทั้งเครื่องมือ-อุปกรณ์เขียนแบบซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงใช้ในการร่วมเขียนแบบขยายด้วยพระองค์เอง รวมทั้ง ‘พระมาลา’ ทรงสวมขณะทรงพระดำเนินลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการจัดสร้างพระเมรุมาศหลายครั้ง และยังจัดแสดงโต๊ะทำงานที่ ก่อเกียรติ ทองผุด ใช้ร่างแบบพระเมรุมาศรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นโต๊ะที่ได้รับสืบทอดมาจาก พล.อ.ต.อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ และอดีตอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่ง พล.อ.ต.อาวุธ ได้รับสืบทอดโต๊ะทำงานตัวนี้มาจาก อ.ประเวศ ลิมปรังษี อดีตอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมศิลปากร ผู้ออกแบบพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ร่วมด้วยการจัดแสดงวีดิทัศน์ฉายภาพลำดับการก่อสร้างในพื้นที่สนามหลวงตั้งแต่เริ่มวางฐานรากจนถึงการประกอบติดตั้งแล้วเสร็จ
    3. ประติมาสร้างสรรค์ จัดแสดงลำดับขั้นตอนการจัดสร้างงานประติมากรรมประดับพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นการทำงานของสำนักช่างสิบหมู่ ร่วมกับ ช่างปั้นปูนสดเมืองเพชรบุรี คณาจารย์จากวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ และกลุ่มช่างฝีมือศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิดและสีบัวทอง รวมทั้งจิตรกรจิตอาสา
    4. สวรรค์บรรจงวาด จำลองภาพจิตรกรรมบนฉากบังเพลิงทั้ง 4 ทิศของพระเมรุมาศ ในอัตราส่วน 1 : 2 โดยการถ่ายภาพและพิมพ์ลงบนผืนผ้าใบ เพื่อให้เห็นรายละเอียดอย่างใกล้ชิด รวมทั้งกล่าวถึงการจัดสร้างจิตรกรรมฝาผนังโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ติดตั้งบนผนังขนาดใหญ่ 3 ผนังของพระที่นั่งทรงธรรม
    5. ยาตรากฤษฎาธาร จัดแสดงเรื่องราวการทำงานในส่วนการบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ รวมทั้งราชรถราชยานที่สร้างขึ้นใหม่ครั้งนี้ คือราชรถปืนใหญ่ เพื่อใช้อัญเชิญพระบรมโกศเวียนอุตราวัฏรอบพระเมรุมาศ และ พระที่นั่งราเชนทรยานน้อย เพื่อใช้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารแทนพระวอสีวิกากาญจน์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกรมศิลปากร กรมสรรพาวุธทหารบก และกรมอู่ทหารเรือ รวมทั้งได้แรงสนับสนุนจากจิตอาสาเข้ามาช่วยงานในหลายส่วน
    6. ตระการวิจิตรศิลปกรรม จัดแสดงงานประณีตศิลป์ในพระราชพิธี ประกอบด้วยการเล่าขั้นตอนการจัดสร้างและชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นพระโกศจันทน์ จัดแสดงฟืนไม้จันทน์ ภาพพระโกศทรงพระบรมอัฐิทองคำลงยา จำนวน 6 องค์ จัดทำโดยกรมศิลปากรและสถาบันสิริกิติ์ และยังจัดแสดงแบบเครื่องสังเค็ด ภาพแสดงขั้นตอนการทำช่อไม้จันทน์ ทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีความแตกต่างจากเดิมที่มีลักษณะเป็นงานซ้อนไม้ลายใบเทศ โดยเปลี่ยนเทคนิคการสร้างงานเป็นการแกะสลักไม้จันทน์ในลักษณะนูนต่ำ เพื่อให้ช่อไม้จันทน์มีมิติเพิ่มมากขึ้น โดยครั้งนี้สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร จัดทำช่อไม้จันทน์ซึ่งผูกลายให้มีความแตกต่างกันตามอย่างลำดับชั้น ทั้งหมด 7 แบบ ได้แก่ ช่อไม้จันทน์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี, ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังจัดแสดงตัวอย่างงานเครื่องสดทั้งภาพและชิ้นงานจริง อาทิ ฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงถักตาข่ายดอกรักชั้นที่ 9 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรือนยอด 9 ชั้นในงานเครื่องสดประดับพระจิตกาธาน
  4. ทับเกษตร ในหัวข้อ นำสัมผัสพระสุเมรุ เป็นนิทรรศการเพื่อผู้พิการทางสายตา จัดแสดงแผนผังบริเวณมณฑลพิธีแบบนูนต่ำ พร้อมอักษรเบรลล์กำกับให้ทราบว่าแต่ละส่วนคืออาคารใด พระเมรุมาศจำลองขนาดย่อส่วน และสัตว์หิมพานต์ให้ได้ลองสัมผัส เพราะตามปกติแล้วผู้พิการทางสายตาไม่มีโอกาสชมความงามของงานศิลปกรรม แม้ได้ยินการอธิบายความงามเป็นคำพูด แต่ก็จินตนาการลำบาก จนกว่าจะได้คลำชิ้นงาน แต่นิทรรศการในส่วนนี้ทำให้ผู้พิการทางสายตารับรู้ความงามของงานศิลปกรรมไทยได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะงานประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ ที่ทำให้ประหลาดใจราวกับเห็นภาพจริง ๆ จากคำกล่าวที่ว่าจิตรกรไทยนำจุดเด่นของสัตว์หลายชนิดมาสร้างเป็นสัตว์หิมพานต์แต่ละตัว เช่น สุบรรณเหรา ที่มีลำตัวเป็นครุฑ หางเป็นพวงเหมือนไก่ มีเขาเหมือนมังกรและหงอนของพญานาคนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งหากงานเหล่านี้มีโอกาสจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ ก็น่าจะช่วยให้ผู้พิการทางสายตาทั่วประเทศได้เรียนรู้ความงามของศิลปกรรมไทยซึ่งเป็นมรดกของชาติได้ชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งอาจเรียกความสนใจจากผู้พิการทางสายตาจากทั่วโลกให้เดินทางมาชมและศึกษาศิลปกรรมไทย ซึ่งในสหรัฐและสหราชอาณาจักรต่างก็มีตัวอย่างพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยทับเกษตรและศาลาลูกขุนแต่ละหลัง มีข้าราชการกรมศิลปากรปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่นำชมนิทรรศการประจำแห่งละ 4 คน คอยให้คำอธิบายและตอบข้อสงสัย หมุนเวียนกัน 2 รอบต่อวัน
  5. ภูมิทัศน์ด้านหน้าพระเมรุมาศ สะท้อนให้เห็นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อาทิ พันธุ์ข้าวพระราชทาน หญ้าแฝก ต้นยางนา มะม่วงมหาชนก และกังหันน้ำชัยพัฒนา[61]

ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จเป็นประธานเปิดนิทรรศการเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน โดยนิทรรศการดังกล่าวเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 2 - 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ตั้งแต่เวลา 07.00 - 22.00 น. เบื้องต้นเปิดให้เข้าชมอย่างอิสระ รอบละ 5,500 คน รองรับประชาชน ได้วันละ 104,000 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มภิกษุ สามเณร 500 รูปต่อวัน ผู้พิการทุกประเภท 500 คนต่อวัน นักท่องเที่ยว 8,000 คนต่อวัน นักเรียน นักศึกษา 15,000 คนต่อวัน และประชาชนทั่วไป 80,000 คนต่อวัน กำหนดเวลาเข้าชมรอบละ 1 ชั่วโมง แบ่งเป็น ให้ประชาขนถ่ายภาพที่ระลึกบริเวณถนนเส้นกลางทางเข้าพระเมรุมาศ 15 นาที จากนั้น ให้เข้าชมพื้นที่ด้านใน 45 นาที โดยให้เข้าชมได้อย่างอิสระ ในส่วนของพระเมรุมาศเปิดให้ขึ้นลงได้ 2 ด้าน ทั้งนี้ก่อนหมดเวลาเข้าชม 5 นาที เจ้าหน้าที่จะส่งสัญญาณหมดเวลาทุกรอบ เพื่อเปิดให้รอบต่อไปได้เข้า โดยตลอดระยะเวลาในการจัดแสดงนิทรรศการ 29 วัน มีประชาชนเข้าชมมากที่สุด 3,016,000 คน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถขึ้นชมพระเมรุมาศได้เฉพาะชั้น 1 เท่านั้น[62]

ทางผู้รับผิดชอบเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกผู้เข้าชมอย่างเต็มที่ โดยมีจุดคัดกรอง 5 จุด โดยประชาชนทั่วไปให้เข้าในจุดคัดกรอง 3 จุด คือบริเวณหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ท่าช้าง และพระแม่ธรณีบีบมวยผม ส่วนผู้พิการเข้าตรงจุดคัดกรองหลังกระทรวงกลาโหม และพระภิกษุสามเณร เข้าทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับการแต่งการเข้าชม ขอความร่วมมือ ประชาชนแต่งชุดสุภาพ เช่นเดียวกับการเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยงดเว้นสายเดี่ยว กางเกงขาสั้น และเสื้อแขนกุด ซึ่งประชาชนสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 22.00 น. โดยมีการเตรียมพื้นที่ให้เข้าชม แบ่งเป็นเวทีมหรสพ และนิทรรศการพระเมรุมาศ ซึ่งผู้ประสงค์จะเข้าชมนิทรรศการ สามารถเข้าคิวรอตรงจุดพักรอบริเวณเต็นท์ที่จัดเตรียมไว้ เพื่อรอคิวเข้าชม การเข้าชมนั้นใช้แนวปฏิบัติเดียวกับการกราบถวายบังคมพระบรมศพ โดยจัดเป็น 4 แถว ส่วนการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเดินทางนั้น องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จัดรถโดยสารให้บริการฟรีใน 6 เส้นทาง ตั้งแต่เวลา 05.00 - 23.00 น. เส้นทางละ 10 คัน รอบละ 60 คัน ได้แก่ 1. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-สนามหลวง 2. หัวลำโพง-สนามหลวง 3. วงกลมรอบเกาะรัตนโกสินทร์-สนามหลวง 4. เอกมัย-สนามหลวง 5. สายใต้ใหม่-สนามหลวง และ 6. หมอชิต-สนามหลวง ส่วนทางเรือให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 22.30 น. ที่ท่านิเวศน์วรดิฐ และท่าราชนาวิกสภา ขณะเดียวกันได้มีการประสานกรมเจ้าท่า ขอความร่วมมือผู้ให้บริการเรือด่วน เรือเมล์ขยายเวลารองรับการเดินทางของประชาชนด้วย

ส่วนการจัดแสดงมหรสพ ที่ประชุมได้กำหนดแนวทางการแสดงมหรสพ ซึ่งมีการนำนักแสดง และนักดนตรีจากสำนักการสังคีต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม รวมทั้งวงดนตรีจากทหาร 4 เหล่าทัพ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาจัดการแสดงภายในบริเวณพระเมรุมาศ โดยวางแนวทางเบื้องต้น มีการแสดงมหรสพ และการแสดงชุดต่าง ๆ เวลา 18.00 - 22.00 น. และมีการประโคมดนตรี วงบัวลอย บริเวณศาลาลูกขุน เวลา 08.00-17.00 น. นอกจากนี้ ในทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ มีการแสดงโขนหน้าพระที่นั่งทรงธรรม เพื่อให้ผู้เข้าชมนิทรรศการ ได้ซึบซับบรรยากาศเสมือนวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ[63]

ต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะให้ประชาชน เยาวชน และผู้ที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกล มีโอกาสเข้าชมพระเมรุมาศอันเป็นผลงานทางวัฒนธรรมไทยที่ทรงคุณค่า และนิทรรศการฯ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้อย่างทั่วถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายเวลาการเข้าชมพระเมรุมาศและนิทรรศการดังกล่าว ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560[64] และในวันที่ 30 และ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็น 2 วันสุดท้ายที่จะเปิดให้ประชาชมเข้าชมนิทรรศการนั้น กรมศิลปากรมีการจัดแสดงโขนครั้งใหญ่ ในเรื่องรามเกียรติ์ชุดพิเศษ หน้าพระที่นั่งทรงธรรม ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป โดยแต่ละวันใช้เวลาแสดง 90 นาที เพื่อให้ประชาชนที่เข้าชมพระเมรุมาศ และนิทรรศการได้รับชมการแสดงโขน[65][66] โดยสำนักสังคีต กรมศิลปากร จัดแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพิเศษ "เย็นศิระ พระอวตาร" เพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช[67]

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร http://krungthep.coconuts.co/2016/11/03/Constructi... http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/776071 http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/777853 http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/780559 http://morning-news.bectero.com/royal/25-Oct-2017/... http://morning-news.bectero.com/social-crime/03-Oc... http://www.marketingoops.com/news/brand-move/4-adv... http://news.mthai.com/general-news/562330.html http://www.muaythai2000.com/newsdetail.php?newsid=... http://www.posttoday.com/kingbhumibol/news/472315